promise...สัญญาข้ามมิติ - promise...สัญญาข้ามมิติ นิยาย promise...สัญญาข้ามมิติ : Dek-D.com - Writer

    promise...สัญญาข้ามมิติ

    ความรัก.... ความห่วงใย..... ใครมีคนที่มอบสิ่งนี้ให้อย่างจริงใจคงจะมีความสุขที่สุด แม้เป็นเพียงระยะเวลานึง แต่กลิ่นกรุ่นแห่งความผูกพันจะยังอบอวลอยู่รอบตัวตลอดกาล

    ผู้เข้าชมรวม

    420

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    420

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 พ.ค. 50 / 08:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


       


                  

      "ผักหวาน....ยกนี่ออกไปก่อนนะลูก"

       

      "ค่ะย่า" หญิงสาวในชุดขาวดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านรับคำแล้วกับยกสำรับกับข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ในถาดอย่างสวยงาม  พร้อมกับช่อดอกบัวสีขาวที่ถูกวางไว้ด้านข้างขวามือของถาดเงินขนาดกลาง ออกไปที่หน้าบ้าน เพื่อตักบาตรเหมือนที่ทำเป็นประจำทุกเช้า

       

      "เดี๋ยวย่าตามไปนะลูก ขอล้างมือหน่อย"เสียงอ่อนโยนของย่าส่งมา  ก่อนจะละมือจากการทำอาหารในครัวเดินเข้าห้องน้ำ หญิงสาวเดินเอาของใส่บาตรมาวางที่โต๊ะหน้าบ้าน ที่ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ย่าของเธอสวมรองเท้าแตะก่อนเดินตามมาสมทบ

       

      "นิมนต์ค่ะ หลวงพ่อ"สาวน้อยหน้าหวานพูดพร้อมกับถอดรองเท้าออกย่อตัวเพื่อนั่งลงสองมือประนมไหว้อย่างนอบน้อม  ย่าของเธอเองก็เช่นกัน ก่อนจะลุกขึ้นและช่วยกันถวายสำหรับให้กับหลวงพ่อ

       

      "อายุ วันนัง สุขขัง พลัง........."หลวงพ่อให้พรเมื่อหญิงต่างวัยตักบาตรแล้ว

       

      "หน้าตาแจ่มใสขึ้นนะโยมนวล"หลวงพ่อเอ่ยกับคุณย่า ตามประสาคุ้นเคยกัน เพราะสีหน้าของย่าตาดูดีขึ้นไม่เหมือนกับช่วงสามเดือนที่ผ่านมา

       

      "ค่ะ หลวงพ่อดีขึ้นแล้วนะค่ะ"คุณย่าตอบกลับพร้อมใบหน้าคลี่ยิ้มนวลเหมือนชื่อของท่าน เมื่อเห็นผู้ใหญ่กำลังสนทนากัน ผักหวานเลยขอตัวและเก็บข้าวของให้ย่า

       

      "เดี๋ยวหนูหวานเก็บเองค่ะย่า   กราบนมัสการลาค่ะหลวงพ่อ

       

      "อืม ขอบใจนะลูก"   เด็กสาวไหว้ลาอย่างสวยงามพร้อมกับเก็บข้าวของเดินขึ้นบนบ้านไป ท่ามกลางสายตาห่วงใยของทั้งหลวงพ่อ และย่า

       

      แต่รายนั้นสิค่ะหลวงพ่อ  คงจะยังยิ้มเหมือนเดิมไม่ได้ย่ากล่าวถึงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ทำให้หลานสาวที่สดใสเปลี่ยนไป

       

      เค้าคงกำลังทำใจยอมรับอยู่นะโยม ผูกพันกันเหลือเกินนี่

       

       

      ยังยึดติดก็ยังเป็นทุกข์ โยมเองดีขึ้นก็ดีแล้วนะ ทำให้หลานเห็นเป็นตัวอย่าง

       

      ค่ะ หลวงพ่อ

       

                                                                                      ..............................................

       

       

       

       

      เมื่อเก็บของเรียบร้อยแล้ว ผักหวานจึงปลีกตัวมานั่งที่ม้านั่งริมน้ำใต้ต้นตีนเป็ด ที่ตอนนี้ออกดอกขาวโพลน ตัดกับใบสีเขียวเป็นมันปลาบ สายลมเย็นพัดพาความชุ่นชื้นของน้ำขึ้นมาบนบก ปะทะกับร่างกายให้รู้สึกผ่อนคลายยามนี้ ชุดครุยสีกรมท่าตัดกับแถบสีฟ้าที่บ่งบอกถึงสาขาวิชาที่เรียนถูกหยิบขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ข้าง ๆ กันนั้นกล่องกำมะหยี่สีแดงที่ข้างในบรรจุสร้อยสีเงินวาวเป็นรูปนาฬิกาเล็ก ๆ ล้อมพลอยสีขาวส่งประกายระยิบระยับ   เมื่อวานนี้เป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของชีวิตเพราะได้เปลี่ยนวัยแห่งการศึกษาเป็นวัยได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว วันแห่งความภาคภูมิใจที่มีแต่รอยยิ้มของญาติพี่น้อง เพื่อน ที่มาร่วมแสดงความยินดี รอยยิ้มของพ่อแม่ที่บ่งบอกว่ามีความสุขที่สุด

       

      แต่.......ก็มีบางอย่างหายไป บางอย่างที่มีความสำคัญ  ภาพต่างๆ เข้ามาในหัวเหมือนภาพวีดีโอที่ถูกถ่ายบันทึกไว้ เพียงแต่ว่าที่จริงสิ่งนี้ มันคือบันทึกแห่งความทรงจำที่ดีเกินไปกว่าจะถูกลบเลือนไปตามการเวลา

       

       

      ...........................

      .................................................

       

      บ้านหลังเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น มีหลานสาวตัวน้อยเป็นขวัญใจของบ้าน  ผักหวาน คือชื่อของนางฟ้าตัวน้อยประจำบ้าน  ตั้งขึ้นมาให้คล้องกับชื่อของอา  ผักบุ้ง    เพราะอาที่เป็นลูกหลงอายุไม่ห่างกันนัก เห่อหลานยังกะอะไรดี  ใครแตะไม่ได้  แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหลานสาวตัวน้อยมากกว่าที่ได้รับทั้งความรัก ความห่วงใย และการปกป้อง..........

       

      "ฮือ....ฮือ..."เสียงร้องไห้ดังออกมาจากเด็กหญิงตัวน้อย ทำให้อีกร่างหนึ่งที่สูงกว่าไม่มากนักกระหืดกระหอบมาทันที

       

      "หนูหวาน  เป็นอะไร"อาบุ้งถามพร้อมกับเริ่มสำรวจว่าสิ่งใดที่ทำให้เด็กหญิงส่งเสียงร้องจ้านี้ได้ แล้วก็เห็นที่เท้ามีมีเลือดซึมออกมา

       

      "อาบุ้ง ตะปูตำเท้า ฮือ...ฮือ "เสียงใสบอกพร้อมกับน้ำตาที่รินลงมาอาบแก้ม ชี้มือไปที่แผลโดยหันหน้าหนีไปอีกด้านไม่กล้ามองรอยแผลลึกที่เกิดขึ้น     วันนี้อาหลานเดินมาเล่นกันไกลมาก เล่นวิ่งไล่กันจนผักหวานวิ่งมาเหยียบตะปู

       

      "มา ๆ  ขึ้นหลังอาเร็ว " อาบุ้งบอกพร้อมกับหันหลังแล้วย่อตัวลงเพื่อให้เด็กหญิงที่ตอนนี้ร้องไห้จนตาแดงไปแล้วขึ้นหลังกลับบ้าน เพื่อให้ย่าดูแผลให้ เหงื่อเม็ดโป้งผุดพรายขึ้นตามไรผมของอาบุ้ง เพราะเดินมานานแล้วแต่ยังไม่ถึงบ้านสักที ขาน้อย ๆ ของอาเริ่มสั่น เนื่องจากอาการล้า แต่ก็ยังไม่ปล่อยหลานสาวลงมาจากหลังเพื่อพักเลย ร่างที่โตกว่าเริ่มจะเดินเซไปเซมา

       

      "อาบุ้งพักก่อนมั้ย"

       

      "ไม่เอา หนูหวานเจ็บอยู่ต้องรีบไป  อาไม่เป็นไรสบายมาก" คือเสียงของอาที่ตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มให้เชื่อมั่นในความเข้มแข็งของตัวเอง ทั้งที่จริงฉันตอนนี้ฉันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมายแล้วอาก็ไม่ยอมให้เดินเองอยู่ดี

       นั่นเป็นอะไรกันมาน่ะ หือบุ้ง ย่าส่งเสียงทักเมื่อเห็นเตี้ยอุ้มค่อมมาอย่างทุลักทุเล

       

      คือ....เอ่อ....ผักหวานตะกุกตะกักที่จะตอบในความผิดของตัวเอง  เพราะย่าเคยห้ามหลายครั้งแล้วว่าอย่าไปเล่นเถลไถล

       

      คืออะไร เป็นอะไรกันบุ้ง ย่าเดินใกล้เข้ามาจนเห็นรอยเลือดที่เท้าหลานสาว

       

      ตายแล้ว หวานเป็นอะไรลูก ย่ารับร่างเล็กของผักหวานลงมาจากหลังของผักบุ้งพร้อมกับพิศดูที่แผล

       

      ขอโทษครับแม่ บุ้งพาน้องไปเล่นเองครับ  บุ้งไม่ได้ดูแลหนูหวานให้ดี อาพูดพร้อมกับก้มหน้าก้มตายอมรับความผิด ย่าจึงเดินไปหยิบไม้เรียวมา ผักหวานตาค้างทันทีเพราะกลัวโดนตี

       

      แม่ครับตีบุ้งคนเดียวเถอะ บุ้งเป็นคนชวนหนูหวานไปเล่นเอง ย่าพยักหน้ารับก่อนจะวาดไม้เรียวลงบนน่องของอาจนเป็นรอย

       

      อายืนกอดอกให้ย่าตี ผักหวานก็นั่งร้องไห้บอกย่าอย่าตีอาเลย แต่ย่าบอกว่าเป็นความผิดต้องทำโทษ สงสารอา แต่อาดันหันมายิ้มให้แถมยังขยิบตาให้อีก เหมือนไม่เจ็บเลยด้วยซ้ำ เหตุการณ์ผ่านไป ย่าตีอาแต่ก็กลับมานั่งทายาให้อาอยู่ดี ตอนเด็ก ๆ ผักหวานไม่ค่อยเข้าใจว่าความรักของผู้ใหญ่แปลก ๆ ตัวเองก็เคยโดนตีเหมือนกัน เพราะดื้อและซน แต่แม่ก็มาป้อนข้าวให้เหมือนเดิม  ก็แม่โกรธนี่นาจะมาดีด้วยทำไม แต่อยู่กับอาบุ้งไม่เคยโดนตีเลย

       

      กรี๊ด ฮ่า ฮ่า ฮ่า

       

      นี่แน่ะ อย่าหนีนะหนูหวานมาให้อาจับซะดีดี เสียงหัวเราะดังลั่นประสานกันตามประสาเด็กที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่

       

      เพล้งงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!!  และข้าวของก็แตกเพราะฝีมือเด็กที่เล่นกันอยู่เป็นธรรมดา

       

      ตายแล้วหนูหวาน นี่มันจานที่เพื่อนของย่าเอามาฝากจากญี่ปุ่นนะ เด็กชายบอกพร้อมกับหยิบเศษแก้วที่แตกขึ้นมาจากพื้นแล้วทำหน้าแหย ๆ

       

      หวานไม่ได้ตั้งใจนะอาบุ้ง  มือมันไปโดนเอง หน้าของเด็กหญิงก็เจื่อนไปเช่นกัน

       

      บุ้งนั่นเสียงอะไร ย่าส่งเสียงมาพร้อมกับเดินลงบันไดมา  หัวใจของเด็กน้อยทั้งสองกระตุกวูบด้วยความกลัว

       

      หนูหวานไปอยู่หลังตู้นั่นก่อนไป  ไปเร็วซิ ผักหวานวิ่งไปตามคำที่อาบอก  จนย่าเดินลงมาเห็นผลงานอาก็ก้มหน้าก้มตาขอโทษย่าเป็นการใหญ่

       

      เดี๋ยวตักน้ำไปรดแปลงดอกไม้เลยนะ  รดให้หมดเลย ซนจริง ๆ ครั้งนี้ย่าไม่ได้ทำโทษด้วยการตีแต่ให้ทำงานไถ่โทษ

       

      แล้วผักหวานอยู่ไหน ไปตามน้องมากินข้าวกินปลาได้แล้วนะ 

       

      อ๋อ..คงอยู่หน้าบ้าน  เดี๋ยวบุ้งไปตามให้ ย่าพยักหน้ารับรู้

       

      แต่ก่อนอื่นบุ้งเก็บนี่ก่อนนะ เดี๋ยวน้องเดินมาเหยียบเอา ย่ามอบหน้าที่อีกอย่างให้ แล้วเดินเข้าไปในครัว เด็กหญิงตัวน้อยเลยค่อย ๆ กระเถิบออกมาจากที่ซ่อน

       

       

      ตั้งแต่เด็กจนโตไปโรงเรียนอาต้องไปส่งที่โรงเรียนก่อน อาถึงจะไปโรงเรียนของอาบ้าง เป็นหน้าที่ที่ใครก็ไม่สามารถแย่งได้ บางครั้งอากลับมาด้วยเนื้อตัวมอมแมม เพราะไปต่อยกับคนที่แกล้งหลานสาวตัวน้อยของเค้า เป็นอย่างนี้ผ่านล่วงเลยวัยเด็กน้อย

       

      .........................................

       

       

      "หนูหวานเร็วซิ เดี๋ยวอาต้องไปซื้อของให้ย่าอีกนะ"เสียงเรียกอย่างเร่งร้อนกำชับมาทำให้ร่างของเด็กสาวตัวเล็กรีบสาวเท้าเร็วขึ้น

       

      "แหม..อาบุ้ง  หวานขาก็สั้นแค่นี้จะให้รีบไปถึงไหน"

       

      "ก็เราเลิกเรียนแล้วมัวแต่โอ้เอ้นี่นา" อาบุ้งพูดพร้อมกับจับศรีษะได้รูปโคลงไปมา

       

       เป็นอย่างนี้ทุกวันหลังเลิกเรียนอาจะทำหน้าที่เป็นสารถี แทนที่พ่อแม่ของเด็กสาว
      โดยอาให้เหตุผลว่ากับพ่อว่า...

       

      ....เหอะน่าพี่ ผมก็ดูแลมาตั้งแต่เด็ก แล้วนี่มันเรื่องแค่นี้เอง....

       

      เรื่องแค่นี้เองของอา ทั้งที่จริงระหว่างทางจากที่ทำงานของอากับมหาวิทยาลัย
      ไม่ได้เป็นระยะทางที่ใกล้กันเลยเป็นอย่างนี้จนกระทั่งเรียนจบ

       

       

      "ใกล้เป็นบัณฑิตเต็มที่ละซิเรา"อาขับรถแต่หันหน้ามายิ้มให้ก่อนหันกลับไปขับต่อ

       

      "ก็ช่ายยยยนะสิอาบุ้ง เนี่ยยังรอของขวัญอยู่เลย " เด็กสาวพูดพร้อมกับแบมือน้อยออก
      เพื่อทวงของขวัญ

       

      "อะไรกันยังไม่ถึงเวลาเลยทวงแล้วเหรอ"อายกมือใหญ่ขึ้นมาตีฝ่ามือที่แผ่ราบอยู่ตอนนี้

       

      "โอ๊ยอาบุ้งหวานเจ็บนะก็เอาวันนี้ก่อน พอถึงวันรับปริญญาอาก็ให้ใหม่ก็ได้"

       

      "โห...ไม่ค่อยเลยนะเราอ่ะ"เด็กสาวยิ้มจนตาหยี อย่างชื่นชมในความฉลาดของตัวเอง

       

      "อาบุ้งต้องทำตัวให้ว่าง เคลียร์งานให้หมดนะ วันรับปริญญาของหนูห้ามติดงานเด็ดขาดนะ
       ห้ามหลีสาวจนลืมหลานด้วย" จมูกโด่งของเด็กสาวย่นน้อย ๆ ล้อเลียนอาของตัวเอง

       

      "เหอะ ถึงติดงาน มีเหรออาจะมีสมาธิทำงาน หึ"อาลงเสียงหนักอย่างประชดคนที่นั่งข้าง ๆ

      เนื่องด้วยเธอเองก็รู้อยู่ ว่าสำหรับอาผักบุ้งแล้ว  ผักหวานสำคัญขนาดไหน เด็กสาวได้แต่ยิ้มในความผูกพันนี้  ที่เธอเองคิดว่าคงไม่มีใครให้เธอได้ ดูแลเธอ ตามใจเธอนอกจากพ่อแม่ แต่พูดก็พูดเถอะบางครั้ง ก็ดีกว่าพ่อกับแม่ซะอีก ไม่ใช่อะไรหรอกเพราะขออะไรจากอาก็ได้เสมอ ถ้าขอกับพ่อแม่ต้องหาเหตุผล ต่อรองมากมายกว่าจะได้มา

       

      เด็กสาวหยิบสร้อยขึ้นมาลูบเบา ๆ อย่างกลัวว่ารอยแตะจะทิ้งรอยเสียหายฝากไว้บนสร้อย ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว น้ำตาของเด็กสาวเริ่มรื้นขึ้นมา ก่อนจะหยดลงอย่างช่วยไม่ได้ ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ได้รับตามสัญญา.....

       

       

      อีกสามเดือนจะถึงวันรับปริญญา ผักหวานต้องมาติดต่อฝ่ายทะเบียนของมหาวิทยาลัยเรื่องการรับปริญญา  พอเสร็จก็ชวนเพื่อนไปสังสรรค์เลี้ยงฉลองความสำเร็จ โดยที่ไม่รู้เลยว่าวันนี้จะต้องสูญเสียสิ่งที่รักไป...

       

      กลับบ้านไป ก็ต้องแปลกใจ เมื่อมีรถของญาติคนอื่น ๆ จอดเต็มลานหน้าบ้าน ในบ้านมีคนอยู่มากมาย เด็กสาว ย่างเท้าเข้าบ้าน  ชักเริ่มเอะใจเพราะวันนี้ก็ไม่ใช่วันเทศกาลที่ครอบครัวต้องมารวมตัวกัน นอกจากจะเกิดเรื่อง  เกิดเรื่องเหรอ...เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเสียงร้องไห้ดังเล็ดลอดออกมา  พ่อยืนอยู่เหมือนรอคอยอะไรสักอย่าง  จนเห็นสาวน้อยเดินเข้ามา

       

      "ผักหวาน กลับมาแล้วเหรอลูก" พ่อถามแต่แววตาไม่ได้ยินดีเหมือนทุกวัน

       

      "ค่ะพ่อ  วันนี้ทำไมพ่อมาบ้านย่าละค่ะ หนูว่าจะโทรไปบอกว่าวันนี้ขอค้างกับย่ากับอาบุ้งหน่อย ฉลองที่ใกล้รับปริญญาแล้ว อาบุ้งบอกว่าวันนี้มีอะไรพิเศษด้วย"เด็กสาวยังคงยิ้มอยู่ด้วยความยินดีแต่สีหน้าของพ่อกลับไม่ยินดีด้วยเลย

       

      "พ่อค่ะมีอะไรรึเปล่าค่ะ แล้วทำไมพวกอา ๆ ถึงมากันเยอะแยะอย่างนี้ล่ะค่ะ"เด็กสาวเริ่มใจไม่ดีขึ้นมาจริง ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นพ่อ

       

      "ผักหวาน ทำใจนะลูก" ทำใจ อะไรกันที่ต้องทำใจ ในเมื่อตอนนี้ต้องยินดีกับเธอต่างหาก

       

      "ทำใจอะไรค่ะพ่อ "ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ข่าวอะไรด้วยซ้ำ แต่น้ำตาเด็กสาวก็ไหลรินอย่างหาสาเหตุไม่ได้เสียแล้ว พ่อรีบเข้ามากอดเอาไว้ก่อนจะบอก สิ่งที่ไม่คาดคิด หรืออาจเร็วเกินไปที่จะรับได้

       

      "อาบุ้ง ไม่อยู่กับเราแล้วนะลูก"อะไรนะสิ่งที่ได้ยินต้องหูฝาดไปแน่เลย   

       

       

      ..............อาไปไหน ทำไมไม่อยู่..............

       

      ............. อาไปไหน เดี๋ยวอาก็กลับมา............

       

      ............อาไม่เคยไปไหน อารักบ้านนี้ รักย่า รักหวาน........

       

      แต่อะไรบางอย่าง และสถาการณ์รอบตัวบอกว่ามันกำลังมีบางอย่างที่รุนแรงเกิดขึ้น

       

      "พ่อ...ไม่จริงใช่มั้ย...พ่อ" เด็กสาวพูดเสียงแหบโหยก่อนจะเสียงดังขึ้นเน้นตรงค่ำว่า ......พ่อ......

       

      "จริงลูก วันนี้อาเขาเข้าไปซื้อของบางอย่างมา ระหว่างที่เลี้ยวออกมาจากร้านนั้น มีรถอีกคันเบรคแตกสวนมาอย่างเร็ว แล้ว........." พ่อไม่พูดคำต่อไป แต่น้ำเสียงของพ่อเจ็บปวดไม่แพ้กับร่างที่สะอื้นให้จนตัวโยนในอ้อมแขนเวลานี้ เพราะอาบุ้งก็เป็นที่รักของพี่ ๆ ทุกคนและรวมถึงย่า

       

      ใช่สิย่า ย่าจะเป็นยังไงบ้าง เด็กสาวสะบัดตัวจากพ่อรีบวิ่งเข้าบ้านทันที ภายในบ้านมีแต่เสียงสะอื้นระงมไปหมด เด็กสาวไม่มีเวลาแม้แต่ จะทำความเคารพญาติผู้ใหญ่อย่างที่เคยทำประจำตอนเจอกัน รีบแหวกคนอื่น ๆ ที่ยืนขวางประตูมองไปที่จุดเดียวกันในบ้าน

       

      ภาพแรกย่านั่งร้องไห้ มือเกาะเกี่ยวไว้กับมืออีกข้างที่ซูบซีดไร้สีเลือดหล่อเลี้ยง  สายตาเด็กสาวค่อย ๆ กวาดไปยังร่างคุ้นเคยที่นอนอยู่แต่ไม่ขยับนั้น

       

      "อาบุ้ง"เสียงแผ่วเบาออกจากปากก่อนร่างจะพรวดเข้าไปยังจุดศูนย์รวมของตาทุกคู่ตอนนี้ 

       

      "ย่า อา...อาเป็นอะไร" ร่างเด็กสาวอ่อนระทวยทันทีก่อนหันไปถามย่าที่ตอนนี้ร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออก แล้วก็ยังร้องไห้อยู่ เด็กสาวไม่อยากจะทอดสายตาขึ้นไป เพื่อพบความจริงว่าร่างนี้ เป็นร่างเดียวกันกับของคนที่เธอรัก ร่างนั้นเคยตอบรับอ้อมกอดของเธอ ร่างนั้นเคยปลอบประโลมเวลาที่เธอเศร้าใจ ร่างนั้นคือร่างของคนที่ไม่เคยห่างหายจากหน้าที่ผู้พิทักษ์และปกป้อง บัดนี้ร่างนั้นไม่แม้เพียงแต่จะขยับเพื่อปกป้องลมหายใจของตัวเอง  แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันคือความจริง ที่ไม่อาจหลีกหนีไปได้

       

      "อาบุ้ง..ไม่นะ ...ไม่จริง"เด็กสาวส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธภาพที่ได้เห็น ไม่อยากรับรู้เลย ไม่อยากเห็นอะไรเลย

       

      "อาบุ้ง อาบุ้งตื่นนะ หลับไม่ได้ หลับไม่ได้นะ" เด็กสาวพูดพร้อมกับเขย่าร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณนั้นอย่างเสียขวัญ

       

      "หวาน..พอเถอะลูก อาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว"เสียงย่าที่ยังคงสะอื้นโดยมีแม่ของเธอกอดอยู่เรียกสติของเธอที่ดูจะกลับมาเสียยากยิ่ง

       

      "ไม่นะย่า อาสัญญาว่าอาจะอยู่ อาจะไปยินดีกับหนู"ร่างบางทิ้งตัวซบกับขอบเตียงก่อนจะเรียกและเขย่าร่างที่ไม่ตอบสนองใด ๆ ต่อ

       

      "หวาน พอลูก พอแล้ว ทุกคนเสียใจไม่แพ้หนูนะลูก"แม่เป็นฝ่ายพูดบ้าง เด็กสาวก็โผเข้าหาที่ทันทีแม่กับย่าเลยกอดเธอไว้  วันนั้นเด็กสาวเสียพลังงานในการร้องไห้ไปมากมายจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง ตั้งแต่วันนั้นร่างบางก็ดูซูบซีดแม้ว่าจะเป็นวันสำคัญของตัวเองก็ตาม

       

      วันรับปริญญา..........

       

      วันเวลาล่วงเลยจนทุกคนเริ่มกลับมาสู่อาการปกติ แต่คำสัญญาของอาบุ้งก็ยังดังก้องหู ทำให้คนที่ยังรวดร้าวติดอยู่กับภาพอดีตคือเธอเอง วันแห่งความสำเร็จของเธอผ่านมาแล้ว มีคนรอบกายมากมายมาร่วมยินดีแต่ไม่มีคนที่เธอต้องการและโหยหา

       

      "หวาน อาบุ้งเค้าฝากกล่องนี้ไว้ให้หนูนะ พร้อมกับจดหมายก่อนอาเสียบอกว่าให้เอาไว้ให้หนูตอนรับปริญญา"

      อย่ากล่าวแต่ตอนนี้แววตาไม่ได้เศร้าสร้อยเหมือนเก่า เด็กสาวรับสิ่งนั้นมาประทับไว้กับอก เพราะมันคือสิ่งมีค่ามากมาย  มือเล็ก ๆ สั่นเทาตอนคลี่กระดาษสีขาวเจอลายมือที่คุ้นเคย

       

      "ยินดีด้วยนะสาวน้อยของอา

       

       

      ยิ้มแก้มปริละซิ นี่นะของขวัญของอาที่จะให้หนูหวานไว้

      เพราะทุกเวลาที่อามีหนูหวานอยู่ด้วย มันมีค่า

      เหมือนมีเทพธิดาตัวน้อยคอยก่อกวนเลยล่ะ

      ตอนนี้มันแสดงให้เห็นว่าหนูหวานเป็นผู้ใหญ่พอที่จะก้าวไปข้างหน้า

      ด้วยตัวเองได้แล้ว  อ๊ะ...อย่าทำหน้างออย่างนั้นซิ อาไม่ได้บอกหนูหวานนะ

      ว่าหนูหวานโตแล้ว อาจะทิ้งหนูหวาน แต่อาจะคอย อยู่ข้าง ๆ ห่าง ๆ ตะหาก

                          ยินดีด้วยกับความสำเร็จในวันนี้ อาต้องซื้อของขวัญให้ล่วงหน้าเลยนะเนี่ย

      เพราะไปเจอ ที่ถูกใจพอดี แล้วเจ้าของร้านก็บอกว่าเหลือชิ้นเดียว

      ไม่ผลิตแล้ว ไงล่ะ.... ชอบมั้ย  ให้นาฬิกาของชีวิตทำหน้าที่

      เก็บเกี่ยวทุกอย่างที่ดีของหนูหวานนะ

      ส่วนสร้อยเส้นนี้คือตัวแทนเวลาของอากับหนูหวาน

       

      เติบโตอย่างสวยงามนะ หลานรักของอา

       

      อาผักบุ้ง..

       

      เด็กสาวฟุบลงบนโต๊ะ ซบหน้ากับมือตัวเองทั้งที่ยังกำสร้อยอยู่ หยดน้ำใสไหลลงกระทบกับตัวนาฬิกาหลังจากนั้น สายลมแวะมาทักทายวูบหนึ่ง....

       

      เด็กสาวรู้สึกตัวเบาหวิว เหมือนล่องลอยไร้น้ำหนัก จึงตัดสินใจลืมตาขึ้น ก็พบตัวเองอยู่ในทุ่งหญ้าเขียว มีดอกไม้หลากสีสัน แข่งกันชูช่ออวดความงามแห่งตัวเองทุกดอก

       

      "ที่นี่ที่ไหนกัน ทำไมเรามาอยู่ที่นี่"เด็กสาวกล่าวกับตัวเอง แต่บัดนี้สร้อยของเธอกลับส่งแสงสีเงินยวงออกมาสะท้อนกับประกายแดด เด็กสาวมองไปข้างหน้า เห็นประกายสีทองสะท้อนแสงแดดกลับมาอยู่ไกล ๆ เช่นกัน จึงตัดสินใจเดินตามแสงนั้นไป ใกล้เข้าไปทุกที ได้ยินเสียงน้ำจากลำธารไหลเอื่อยฟังระรื่นหูไม่น้อย ทุ่งหญ้ายังทอดตัวยาวไปไกลแสนไกลจนสุดลูกตา  เด็กสาวเดินมาหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านกว้างขวาง อยู่ริมลำธาร

       

      "เมื่อกี้แสงมาจากตรงนี้นี่นา" ผักหวานพึมพำเพราะตอนนี้แสงนั้นหายไปแล้ว แต่กลิ่นที่มาแตะจมูกกลับเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย และเป็นน้ำหอม กลิ่นที่อาบุ้งชอบใช้ประจำนั่นเอง เด็กสาวเดินตามกลิ่นนั้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะพบกับสิ่งที่ไม่เชื่อสายตา

       

      ร่างของคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความเขียวขจีของทุ่งหญ้าสลับกับสีของดอกไม้ที่เบ่งบาน ร่างนั้นอยู่ในชุดสีขาวที่ดูเหมือนมีแสงออร่าสีขาวห่อหุ้ม ก่อนจะค่อย ๆ หันมาแล้วทำให้เด็กสาวดีใจได้ทั้งน้ำตา

       

      "อาบุ้ง" ผักบุ้งตะโกนด้วยความดีใจ ก่อนจะโผเข้าหาอีกร่าง ที่อ้าแขนรับทันที

       

      "เป็นไงเรา ขี้แยอีกละซะท่า"ร่างสูงกว่าที่ยังกอดเด็กสาวตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนเอ่ยขึ้น

       

      "อาบุ้ง อาบุ้งทิ้งหวานมา กลับไปนะ " ผักบุ้งพูดเสียงอ้อนอย่างเอาแต่ใจ  สิ่งที่เด็กสาวพูดขึ้นทำให้อีกฝ่ายดันร่างบางออกมาเพื่อสบตา

       

      "อาทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะหนูหวาน  มันเป็นสัจธรรม การพรากจากต้องเกิดขึ้นจะเร็วหรือช้าก็ตาม"ผักบุ้งได้แต่ฟังด้วยน้ำตาคลอหน่วยตา

       

      "อามาตามสัญญา อาสัญญาว่าจะมาแสดงความยินดีกับหนูหวาน"มือใหญ่ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่หยดหยาดลงบนใบหน้าให้หลานสาว

       

      "อาบุ้ง " เด็กสาวเรียกชื่อดวงตาจ้องมองร่างสูงไม่วางตา อยากจะจดจำภาพนี้อีก ไม่อยากแม้แต่จะกระพริบตา

       

      "หนูหวาน อารู้ตอนนี้หนูหวานอยู่ด้วยความรู้สึกยังไง อย่าเศร้าอีกเลย เพราะอาอยู่ที่นี่สบายดี และอย่าคิดว่าอาจากไปไหน เพราะอาอยู่ข้าง ๆ หนูหวานตลอดเวลา เพียงแต่หนูหวานมองไม่เห็น ให้หันไปมองวันเวลาที่สวยงามของเรา มาเป็นกำลังใจนะ  หนูหวานยังอยู่...อยู่เผื่อเวลาของอาที่หายไปด้วยดูแลย่าและคนอื่น ๆ ให้อาด้วย อย่าเอาความเศร้า มาขีดกั้น เรามีอย่างอื่นอีกมากมายต้องทำ " เด็กสาวพยักหน้ารับน้ำตายังเกาะพราว

       

      "อย่าคิดว่าเราได้สูญเสียไปแล้ว อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใคร ทุกคนรักหนูหวานเหมือนที่อารักหนูหวาน"

       

      "ได้เวลาต้องไปแล้ว สิ่งนี้คือตัวแทนอา "อาบุ้งพูดพร้อมกับจับมือที่ถือล๊อคเก็ตนั้นอยู่กระชับเบา ๆ

       

      "แต่หวานยังอยากอยู่ที่นี่กับอาบุ้ง" เด็กสาวประท้วงอย่างเอาแต่ใจเหมือนเคยเมื่ออยู่กับอา

       

      "อยู่ไม่ได้ มันยังไม่ถึงเวลาของหนูหวาน อืม...แล้วอาขอบใจนะสำหรับแกงเขียวหวานอร่อย ๆ เมื่อเช้านะ"เด็กสาวทำหน้างง แต่ก็คิดได้ทันที แกงเขียวหวานที่เธอทำใส่บาตรเมื่อเช้านี้

       

      "อย่าเรียกร้องหาเวลาที่เสียไป แต่ให้ทำเวลาที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุดเข้าใจมั้ย"

       

      "ค่ะอาบุ้ง" สองร่างกอดกันอีกครั้งต่างถ่ายทอดความรักและผูกพันให้กัน ก่อนร่างของอาจะค่อย ๆ จางหายกลายเป็นอากาศธาตุสีทองจางหายไปกับอากาศรอบตัว

       

      เด็กสาวสะดุ้งตื่น ที่มือยังอุ่นอยู่ด้วยสัมผัสอ่อนโยน และเธอเองคิดว่าไม่ได้ฝันไปแน่ รอยยิ้มที่หายไปนานจากใบหน้าหวาน กลับมาอีกครั้ง และยิ้มได้อย่างไม่มีสิ่งค้างคาในใจ ไม่มีพันธะแห่งจากลามากรายกร้ำ

       

      "สัญญาค่ะอา จะเข้มแข็ง จะดูแลคนอื่น ๆ ให้อา จะไม่ทวงถามเวลาที่เสียไป "

       

      "จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด" สิ้นเสียงคำสัญญาของเด็กสาว ลมเย็นวูบหนึ่งก็มาปะทะร่างกายเหมือนกับว่าคนที่กำลังคิดถึงได้รับรู้แล้ว

       

      ..........การสูญเสียสิ่งที่รัก ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการก้าวไป แต่ตัวเราเองต่างหากที่เป็นอุปรรค...........

       

      ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่ามัวจมอยู่กับอดีตที่หวนคืนไม่ได้ แต่ให้มันผลักดันไปสู่วันใหม่ที่ดีกว่า....

       

      ........................สัญญากันนะทุกคน บางทีกำลังใจที่มองไม่เห็นอาจส่งให้คุณอยู่ก็ได้.....................


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×