promise...สัญญาข้ามมิติ
ความรัก.... ความห่วงใย..... ใครมีคนที่มอบสิ่งนี้ให้อย่างจริงใจคงจะมีความสุขที่สุด แม้เป็นเพียงระยะเวลานึง แต่กลิ่นกรุ่นแห่งความผูกพันจะยังอบอวลอยู่รอบตัวตลอดกาล
ผู้เข้าชมรวม
420
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
"ผักหวาน....ยกนี่ออกไปก่อนนะลูก"
"ค่ะย่า" หญิงสาวในชุดขาวดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านรับคำแล้วกับยกสำรับกับข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ในถาดอย่างสวยงาม พร้อมกับช่อดอกบัวสีขาวที่ถูกวางไว้ด้านข้างขวามือของถาดเงินขนาดกลาง ออกไปที่หน้าบ้าน เพื่อตักบาตรเหมือนที่ทำเป็นประจำทุกเช้า
"เดี๋ยวย่าตามไปนะลูก ขอล้างมือหน่อย"เสียงอ่อนโยนของย่าส่งมา ก่อนจะละมือจากการทำอาหารในครัวเดินเข้าห้องน้ำ หญิงสาวเดินเอาของใส่บาตรมาวางที่โต๊ะหน้าบ้าน ที่ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ย่าของเธอสวมรองเท้าแตะก่อนเดินตามมาสมทบ
"นิมนต์ค่ะ หลวงพ่อ"สาวน้อยหน้าหวานพูดพร้อมกับถอดรองเท้าออกย่อตัวเพื่อนั่งลงสองมือประนมไหว้อย่างนอบน้อม ย่าของเธอเองก็เช่นกัน ก่อนจะลุกขึ้นและช่วยกันถวายสำหรับให้กับหลวงพ่อ
"อายุ วันนัง สุขขัง พลัง........."หลวงพ่อให้พรเมื่อหญิงต่างวัยตักบาตรแล้ว
"หน้าตาแจ่มใสขึ้นนะโยมนวล"หลวงพ่อเอ่ยกับคุณย่า ตามประสาคุ้นเคยกัน เพราะสีหน้าของย่าตาดูดีขึ้นไม่เหมือนกับช่วงสามเดือนที่ผ่านมา
"ค่ะ หลวงพ่อดีขึ้นแล้วนะค่ะ"คุณย่าตอบกลับพร้อมใบหน้าคลี่ยิ้มนวลเหมือนชื่อของท่าน เมื่อเห็นผู้ใหญ่กำลังสนทนากัน ผักหวานเลยขอตัวและเก็บข้าวของให้ย่า
"เดี๋ยวหนูหวานเก็บเองค่ะย่า กราบนมัสการลาค่ะหลวงพ่อ“
"อืม ขอบใจนะลูก" เด็กสาวไหว้ลาอย่างสวยงามพร้อมกับเก็บข้าวของเดินขึ้นบนบ้านไป ท่ามกลางสายตาห่วงใยของทั้งหลวงพ่อ และย่า
“แต่รายนั้นสิค่ะหลวงพ่อ คงจะยังยิ้มเหมือนเดิมไม่ได้”ย่ากล่าวถึงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ทำให้หลานสาวที่สดใสเปลี่ยนไป
“เค้าคงกำลังทำใจยอมรับอยู่นะโยม ผูกพันกันเหลือเกินนี่ “
“ยังยึดติดก็ยังเป็นทุกข์ โยมเองดีขึ้นก็ดีแล้วนะ ทำให้หลานเห็นเป็นตัวอย่าง”
“ค่ะ หลวงพ่อ”
..............................................
เมื่อเก็บของเรียบร้อยแล้ว ผักหวานจึงปลีกตัวมานั่งที่ม้านั่งริมน้ำใต้ต้นตีนเป็ด ที่ตอนนี้ออกดอกขาวโพลน ตัดกับใบสีเขียวเป็นมันปลาบ สายลมเย็นพัดพาความชุ่นชื้นของน้ำขึ้นมาบนบก ปะทะกับร่างกายให้รู้สึกผ่อนคลายยามนี้ ชุดครุยสีกรมท่าตัดกับแถบสีฟ้าที่บ่งบอกถึงสาขาวิชาที่เรียนถูกหยิบขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ข้าง ๆ กันนั้นกล่องกำมะหยี่สีแดงที่ข้างในบรรจุสร้อยสีเงินวาวเป็นรูปนาฬิกาเล็ก ๆ ล้อมพลอยสีขาวส่งประกายระยิบระยับ เมื่อวานนี้เป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของชีวิตเพราะได้เปลี่ยนวัยแห่งการศึกษาเป็นวัยได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว วันแห่งความภาคภูมิใจที่มีแต่รอยยิ้มของญาติพี่น้อง เพื่อน ที่มาร่วมแสดงความยินดี รอยยิ้มของพ่อแม่ที่บ่งบอกว่ามีความสุขที่สุด
แต่.......ก็มีบางอย่างหายไป บางอย่างที่มีความสำคัญ ภาพต่างๆ เข้ามาในหัวเหมือนภาพวีดีโอที่ถูกถ่ายบันทึกไว้ เพียงแต่ว่าที่จริงสิ่งนี้ มันคือบันทึกแห่งความทรงจำที่ดีเกินไปกว่าจะถูกลบเลือนไปตามการเวลา
...........................
.................................................
บ้านหลังเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น มีหลานสาวตัวน้อยเป็นขวัญใจของบ้าน “ผักหวาน” คือชื่อของนางฟ้าตัวน้อยประจำบ้าน ตั้งขึ้นมาให้คล้องกับชื่อของอา “ผักบุ้ง” เพราะอาที่เป็นลูกหลงอายุไม่ห่างกันนัก เห่อหลานยังกะอะไรดี ใครแตะไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหลานสาวตัวน้อยมากกว่าที่ได้รับทั้งความรัก ความห่วงใย และการปกป้อง..........
"ฮือ....ฮือ..."เสียงร้องไห้ดังออกมาจากเด็กหญิงตัวน้อย ทำให้อีกร่างหนึ่งที่สูงกว่าไม่มากนักกระหืดกระหอบมาทันที
"หนูหวาน เป็นอะไร"อาบุ้งถามพร้อมกับเริ่มสำรวจว่าสิ่งใดที่ทำให้เด็กหญิงส่งเสียงร้องจ้านี้ได้ แล้วก็เห็นที่เท้ามีมีเลือดซึมออกมา
"อาบุ้ง ตะปูตำเท้า ฮือ...ฮือ "เสียงใสบอกพร้อมกับน้ำตาที่รินลงมาอาบแก้ม ชี้มือไปที่แผลโดยหันหน้าหนีไปอีกด้านไม่กล้ามองรอยแผลลึกที่เกิดขึ้น วันนี้อาหลานเดินมาเล่นกันไกลมาก เล่นวิ่งไล่กันจนผักหวานวิ่งมาเหยียบตะปู
"มา ๆ ขึ้นหลังอาเร็ว " อาบุ้งบอกพร้อมกับหันหลังแล้วย่อตัวลงเพื่อให้เด็กหญิงที่ตอนนี้ร้องไห้จนตาแดงไปแล้วขึ้นหลังกลับบ้าน เพื่อให้ย่าดูแผลให้ เหงื่อเม็ดโป้งผุดพรายขึ้นตามไรผมของอาบุ้ง เพราะเดินมานานแล้วแต่ยังไม่ถึงบ้านสักที ขาน้อย ๆ ของอาเริ่มสั่น เนื่องจากอาการล้า แต่ก็ยังไม่ปล่อยหลานสาวลงมาจากหลังเพื่อพักเลย ร่างที่โตกว่าเริ่มจะเดินเซไปเซมา
"อาบุ้งพักก่อนมั้ย"
"ไม่เอา หนูหวานเจ็บอยู่ต้องรีบไป อาไม่เป็นไรสบายมาก" คือเสียงของอาที่ตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มให้เชื่อมั่นในความเข้มแข็งของตัวเอง ทั้งที่จริงฉันตอนนี้ฉันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมายแล้วอาก็ไม่ยอมให้เดินเองอยู่ดี
“นั่นเป็นอะไรกันมาน่ะ หือบุ้ง” ย่าส่งเสียงทักเมื่อเห็นเตี้ยอุ้มค่อมมาอย่างทุลักทุเล
“คือ....เอ่อ....”ผักหวานตะกุกตะกักที่จะตอบในความผิดของตัวเอง เพราะย่าเคยห้ามหลายครั้งแล้วว่าอย่าไปเล่นเถลไถล
“คืออะไร เป็นอะไรกันบุ้ง “ ย่าเดินใกล้เข้ามาจนเห็นรอยเลือดที่เท้าหลานสาว
“ตายแล้ว หวานเป็นอะไรลูก” ย่ารับร่างเล็กของผักหวานลงมาจากหลังของผักบุ้งพร้อมกับพิศดูที่แผล
“ขอโทษครับแม่ บุ้งพาน้องไปเล่นเองครับ บุ้งไม่ได้ดูแลหนูหวานให้ดี” อาพูดพร้อมกับก้มหน้าก้มตายอมรับความผิด ย่าจึงเดินไปหยิบไม้เรียวมา ผักหวานตาค้างทันทีเพราะกลัวโดนตี
“แม่ครับตีบุ้งคนเดียวเถอะ บุ้งเป็นคนชวนหนูหวานไปเล่นเอง” ย่าพยักหน้ารับก่อนจะวาดไม้เรียวลงบนน่องของอาจนเป็นรอย
อายืนกอดอกให้ย่าตี ผักหวานก็นั่งร้องไห้บอกย่าอย่าตีอาเลย แต่ย่าบอกว่าเป็นความผิดต้องทำโทษ สงสารอา แต่อาดันหันมายิ้มให้แถมยังขยิบตาให้อีก เหมือนไม่เจ็บเลยด้วยซ้ำ เหตุการณ์ผ่านไป ย่าตีอาแต่ก็กลับมานั่งทายาให้อาอยู่ดี ตอนเด็ก ๆ ผักหวานไม่ค่อยเข้าใจว่าความรักของผู้ใหญ่แปลก ๆ ตัวเองก็เคยโดนตีเหมือนกัน เพราะดื้อและซน แต่แม่ก็มาป้อนข้าวให้เหมือนเดิม ก็แม่โกรธนี่นาจะมาดีด้วยทำไม แต่อยู่กับอาบุ้งไม่เคยโดนตีเลย
“กรี๊ด ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“นี่แน่ะ อย่าหนีนะหนูหวานมาให้อาจับซะดีดี” เสียงหัวเราะดังลั่นประสานกันตามประสาเด็กที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่
เพล้งงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!! และข้าวของก็แตกเพราะฝีมือเด็กที่เล่นกันอยู่เป็นธรรมดา
“ตายแล้วหนูหวาน นี่มันจานที่เพื่อนของย่าเอามาฝากจากญี่ปุ่นนะ” เด็กชายบอกพร้อมกับหยิบเศษแก้วที่แตกขึ้นมาจากพื้นแล้วทำหน้าแหย ๆ
“หวานไม่ได้ตั้งใจนะอาบุ้ง มือมันไปโดนเอง” หน้าของเด็กหญิงก็เจื่อนไปเช่นกัน
“บุ้งนั่นเสียงอะไร” ย่าส่งเสียงมาพร้อมกับเดินลงบันไดมา หัวใจของเด็กน้อยทั้งสองกระตุกวูบด้วยความกลัว
“หนูหวานไปอยู่หลังตู้นั่นก่อนไป ไปเร็วซิ” ผักหวานวิ่งไปตามคำที่อาบอก จนย่าเดินลงมาเห็นผลงานอาก็ก้มหน้าก้มตาขอโทษย่าเป็นการใหญ่
“เดี๋ยวตักน้ำไปรดแปลงดอกไม้เลยนะ รดให้หมดเลย ซนจริง ๆ “ ครั้งนี้ย่าไม่ได้ทำโทษด้วยการตีแต่ให้ทำงานไถ่โทษ
“แล้วผักหวานอยู่ไหน ไปตามน้องมากินข้าวกินปลาได้แล้วนะ”
“อ๋อ..คงอยู่หน้าบ้าน เดี๋ยวบุ้งไปตามให้” ย่าพยักหน้ารับรู้
“แต่ก่อนอื่นบุ้งเก็บนี่ก่อนนะ เดี๋ยวน้องเดินมาเหยียบเอา” ย่ามอบหน้าที่อีกอย่างให้ แล้วเดินเข้าไปในครัว เด็กหญิงตัวน้อยเลยค่อย ๆ กระเถิบออกมาจากที่ซ่อน
ตั้งแต่เด็กจนโตไปโรงเรียนอาต้องไปส่งที่โรงเรียนก่อน อาถึงจะไปโรงเรียนของอาบ้าง เป็นหน้าที่ที่ใครก็ไม่สามารถแย่งได้ บางครั้งอากลับมาด้วยเนื้อตัวมอมแมม เพราะไปต่อยกับคนที่แกล้งหลานสาวตัวน้อยของเค้า เป็นอย่างนี้ผ่านล่วงเลยวัยเด็กน้อย
.........................................
"หนูหวานเร็วซิ เดี๋ยวอาต้องไปซื้อของให้ย่าอีกนะ"เสียงเรียกอย่างเร่งร้อนกำชับมาทำให้ร่างของเด็กสาวตัวเล็กรีบสาวเท้าเร็วขึ้น
"แหม..อาบุ้ง หวานขาก็สั้นแค่นี้จะให้รีบไปถึงไหน"
"ก็เราเลิกเรียนแล้วมัวแต่โอ้เอ้นี่นา" อาบุ้งพูดพร้อมกับจับศรีษะได้รูปโคลงไปมา
เป็นอย่างนี้ทุกวันหลังเลิกเรียนอาจะทำหน้าที่เป็นสารถี แทนที่พ่อแม่ของเด็กสาว
โดยอาให้เหตุผลว่ากับพ่อว่า...
....เหอะน่าพี่ ผมก็ดูแลมาตั้งแต่เด็ก แล้วนี่มันเรื่องแค่นี้เอง....
เรื่องแค่นี้เองของอา ทั้งที่จริงระหว่างทางจากที่ทำงานของอากับมหาวิทยาลัย
ไม่ได้เป็นระยะทางที่ใกล้กันเลยเป็นอย่างนี้จนกระทั่งเรียนจบ
"ใกล้เป็นบัณฑิตเต็มที่ละซิเรา"อาขับรถแต่หันหน้ามายิ้มให้ก่อนหันกลับไปขับต่อ
"ก็ช่ายยยยนะสิอาบุ้ง เนี่ยยังรอของขวัญอยู่เลย " เด็กสาวพูดพร้อมกับแบมือน้อยออก
เพื่อทวงของขวัญ
"อะไรกันยังไม่ถึงเวลาเลยทวงแล้วเหรอ"อายกมือใหญ่ขึ้นมาตีฝ่ามือที่แผ่ราบอยู่ตอนนี้
"โอ๊ยอาบุ้งหวานเจ็บนะก็เอาวันนี้ก่อน พอถึงวันรับปริญญาอาก็ให้ใหม่ก็ได้"
"โห...ไม่ค่อยเลยนะเราอ่ะ"เด็กสาวยิ้มจนตาหยี อย่างชื่นชมในความฉลาดของตัวเอง
"อาบุ้งต้องทำตัวให้ว่าง เคลียร์งานให้หมดนะ วันรับปริญญาของหนูห้ามติดงานเด็ดขาดนะ
ห้ามหลีสาวจนลืมหลานด้วย" จมูกโด่งของเด็กสาวย่นน้อย ๆ ล้อเลียนอาของตัวเอง
"เหอะ ถึงติดงาน มีเหรออาจะมีสมาธิทำงาน หึ"อาลงเสียงหนักอย่างประชดคนที่นั่งข้าง ๆ
เนื่องด้วยเธอเองก็รู้อยู่ ว่าสำหรับอาผักบุ้งแล้ว ผักหวานสำคัญขนาดไหน เด็กสาวได้แต่ยิ้มในความผูกพันนี้ ที่เธอเองคิดว่าคงไม่มีใครให้เธอได้ ดูแลเธอ ตามใจเธอนอกจากพ่อแม่ แต่พูดก็พูดเถอะบางครั้ง ก็ดีกว่าพ่อกับแม่ซะอีก ไม่ใช่อะไรหรอกเพราะขออะไรจากอาก็ได้เสมอ ถ้าขอกับพ่อแม่ต้องหาเหตุผล ต่อรองมากมายกว่าจะได้มา
เด็กสาวหยิบสร้อยขึ้นมาลูบเบา ๆ อย่างกลัวว่ารอยแตะจะทิ้งรอยเสียหายฝากไว้บนสร้อย ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว น้ำตาของเด็กสาวเริ่มรื้นขึ้นมา ก่อนจะหยดลงอย่างช่วยไม่ได้ ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ได้รับตามสัญญา.....
อีกสามเดือนจะถึงวันรับปริญญา ผักหวานต้องมาติดต่อฝ่ายทะเบียนของมหาวิทยาลัยเรื่องการรับปริญญา พอเสร็จก็ชวนเพื่อนไปสังสรรค์เลี้ยงฉลองความสำเร็จ โดยที่ไม่รู้เลยว่าวันนี้จะต้องสูญเสียสิ่งที่รักไป...
กลับบ้านไป ก็ต้องแปลกใจ เมื่อมีรถของญาติคนอื่น ๆ จอดเต็มลานหน้าบ้าน ในบ้านมีคนอยู่มากมาย เด็กสาว ย่างเท้าเข้าบ้าน ชักเริ่มเอะใจเพราะวันนี้ก็ไม่ใช่วันเทศกาลที่ครอบครัวต้องมารวมตัวกัน นอกจากจะเกิดเรื่อง เกิดเรื่องเหรอ...เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเสียงร้องไห้ดังเล็ดลอดออกมา พ่อยืนอยู่เหมือนรอคอยอะไรสักอย่าง จนเห็นสาวน้อยเดินเข้ามา
"ผักหวาน กลับมาแล้วเหรอลูก" พ่อถามแต่แววตาไม่ได้ยินดีเหมือนทุกวัน
"ค่ะพ่อ วันนี้ทำไมพ่อมาบ้านย่าละค่ะ หนูว่าจะโทรไปบอกว่าวันนี้ขอค้างกับย่ากับอาบุ้งหน่อย ฉลองที่ใกล้รับปริญญาแล้ว อาบุ้งบอกว่าวันนี้มีอะไรพิเศษด้วย"เด็กสาวยังคงยิ้มอยู่ด้วยความยินดีแต่สีหน้าของพ่อกลับไม่ยินดีด้วยเลย
"พ่อค่ะมีอะไรรึเปล่าค่ะ แล้วทำไมพวกอา ๆ ถึงมากันเยอะแยะอย่างนี้ล่ะค่ะ"เด็กสาวเริ่มใจไม่ดีขึ้นมาจริง ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นพ่อ
"ผักหวาน ทำใจนะลูก" ทำใจ อะไรกันที่ต้องทำใจ ในเมื่อตอนนี้ต้องยินดีกับเธอต่างหาก
"ทำใจอะไรค่ะพ่อ "ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ข่าวอะไรด้วยซ้ำ แต่น้ำตาเด็กสาวก็ไหลรินอย่างหาสาเหตุไม่ได้เสียแล้ว พ่อรีบเข้ามากอดเอาไว้ก่อนจะบอก สิ่งที่ไม่คาดคิด หรืออาจเร็วเกินไปที่จะรับได้
"อาบุ้ง ไม่อยู่กับเราแล้วนะลูก"อะไรนะสิ่งที่ได้ยินต้องหูฝาดไปแน่เลย
..............อาไปไหน ทำไมไม่อยู่..............
............. อาไปไหน เดี๋ยวอาก็กลับมา............
............อาไม่เคยไปไหน อารักบ้านนี้ รักย่า รักหวาน........
แต่อะไรบางอย่าง และสถาการณ์รอบตัวบอกว่ามันกำลังมีบางอย่างที่รุนแรงเกิดขึ้น
"พ่อ...ไม่จริงใช่มั้ย...พ่อ" เด็กสาวพูดเสียงแหบโหยก่อนจะเสียงดังขึ้นเน้นตรงค่ำว่า ......พ่อ......
"จริงลูก วันนี้อาเขาเข้าไปซื้อของบางอย่างมา ระหว่างที่เลี้ยวออกมาจากร้านนั้น มีรถอีกคันเบรคแตกสวนมาอย่างเร็ว แล้ว........." พ่อไม่พูดคำต่อไป แต่น้ำเสียงของพ่อเจ็บปวดไม่แพ้กับร่างที่สะอื้นให้จนตัวโยนในอ้อมแขนเวลานี้ เพราะอาบุ้งก็เป็นที่รักของพี่ ๆ ทุกคนและรวมถึงย่า
ใช่สิย่า ย่าจะเป็นยังไงบ้าง เด็กสาวสะบัดตัวจากพ่อรีบวิ่งเข้าบ้านทันที ภายในบ้านมีแต่เสียงสะอื้นระงมไปหมด เด็กสาวไม่มีเวลาแม้แต่ จะทำความเคารพญาติผู้ใหญ่อย่างที่เคยทำประจำตอนเจอกัน รีบแหวกคนอื่น ๆ ที่ยืนขวางประตูมองไปที่จุดเดียวกันในบ้าน
ภาพแรกย่านั่งร้องไห้ มือเกาะเกี่ยวไว้กับมืออีกข้างที่ซูบซีดไร้สีเลือดหล่อเลี้ยง สายตาเด็กสาวค่อย ๆ กวาดไปยังร่างคุ้นเคยที่นอนอยู่แต่ไม่ขยับนั้น
"อาบุ้ง"เสียงแผ่วเบาออกจากปากก่อนร่างจะพรวดเข้าไปยังจุดศูนย์รวมของตาทุกคู่ตอนนี้
"ย่า อา...อาเป็นอะไร" ร่างเด็กสาวอ่อนระทวยทันทีก่อนหันไปถามย่าที่ตอนนี้ร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออก แล้วก็ยังร้องไห้อยู่ เด็กสาวไม่อยากจะทอดสายตาขึ้นไป เพื่อพบความจริงว่าร่างนี้ เป็นร่างเดียวกันกับของคนที่เธอรัก ร่างนั้นเคยตอบรับอ้อมกอดของเธอ ร่างนั้นเคยปลอบประโลมเวลาที่เธอเศร้าใจ ร่างนั้นคือร่างของคนที่ไม่เคยห่างหายจากหน้าที่ผู้พิทักษ์และปกป้อง บัดนี้ร่างนั้นไม่แม้เพียงแต่จะขยับเพื่อปกป้องลมหายใจของตัวเอง แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันคือความจริง ที่ไม่อาจหลีกหนีไปได้
"อาบุ้ง..ไม่นะ ...ไม่จริง"เด็กสาวส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธภาพที่ได้เห็น ไม่อยากรับรู้เลย ไม่อยากเห็นอะไรเลย
"อาบุ้ง อาบุ้งตื่นนะ หลับไม่ได้ หลับไม่ได้นะ" เด็กสาวพูดพร้อมกับเขย่าร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณนั้นอย่างเสียขวัญ
"หวาน..พอเถอะลูก อาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว"เสียงย่าที่ยังคงสะอื้นโดยมีแม่ของเธอกอดอยู่เรียกสติของเธอที่ดูจะกลับมาเสียยากยิ่ง
"ไม่นะย่า อาสัญญาว่าอาจะอยู่ อาจะไปยินดีกับหนู"ร่างบางทิ้งตัวซบกับขอบเตียงก่อนจะเรียกและเขย่าร่างที่ไม่ตอบสนองใด ๆ ต่อ
"หวาน พอลูก พอแล้ว ทุกคนเสียใจไม่แพ้หนูนะลูก"แม่เป็นฝ่ายพูดบ้าง เด็กสาวก็โผเข้าหาที่ทันทีแม่กับย่าเลยกอดเธอไว้ วันนั้นเด็กสาวเสียพลังงานในการร้องไห้ไปมากมายจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง ตั้งแต่วันนั้นร่างบางก็ดูซูบซีดแม้ว่าจะเป็นวันสำคัญของตัวเองก็ตาม
วันรับปริญญา..........
วันเวลาล่วงเลยจนทุกคนเริ่มกลับมาสู่อาการปกติ แต่คำสัญญาของอาบุ้งก็ยังดังก้องหู ทำให้คนที่ยังรวดร้าวติดอยู่กับภาพอดีตคือเธอเอง วันแห่งความสำเร็จของเธอผ่านมาแล้ว มีคนรอบกายมากมายมาร่วมยินดีแต่ไม่มีคนที่เธอต้องการและโหยหา
"หวาน อาบุ้งเค้าฝากกล่องนี้ไว้ให้หนูนะ พร้อมกับจดหมายก่อนอาเสียบอกว่าให้เอาไว้ให้หนูตอนรับปริญญา"
อย่ากล่าวแต่ตอนนี้แววตาไม่ได้เศร้าสร้อยเหมือนเก่า เด็กสาวรับสิ่งนั้นมาประทับไว้กับอก เพราะมันคือสิ่งมีค่ามากมาย มือเล็ก ๆ สั่นเทาตอนคลี่กระดาษสีขาวเจอลายมือที่คุ้นเคย
"ยินดีด้วยนะสาวน้อยของอา”
ยิ้มแก้มปริละซิ นี่นะของขวัญของอาที่จะให้หนูหวานไว้
เพราะทุกเวลาที่อามีหนูหวานอยู่ด้วย มันมีค่า
เหมือนมีเทพธิดาตัวน้อยคอยก่อกวนเลยล่ะ
ตอนนี้มันแสดงให้เห็นว่าหนูหวานเป็นผู้ใหญ่พอที่จะก้าวไปข้างหน้า
ด้วยตัวเองได้แล้ว อ๊ะ...อย่าทำหน้างออย่างนั้นซิ อาไม่ได้บอกหนูหวานนะ
ว่าหนูหวานโตแล้ว อาจะทิ้งหนูหวาน แต่อาจะคอย อยู่ข้าง ๆ ห่าง ๆ ตะหาก
เพราะไปเจอ ที่ถูกใจพอดี แล้วเจ้าของร้านก็บอกว่าเหลือชิ้นเดียว
ไม่ผลิตแล้ว ไงล่ะ.... ชอบมั้ย ให้นาฬิกาของชีวิตทำหน้าที่
เก็บเกี่ยวทุกอย่างที่ดีของหนูหวานนะ
ส่วนสร้อยเส้นนี้คือตัวแทนเวลาของอากับหนูหวาน”
เติบโตอย่างสวยงามนะ หลานรักของอา
อาผักบุ้ง..
เด็กสาวฟุบลงบนโต๊ะ ซบหน้ากับมือตัวเองทั้งที่ยังกำสร้อยอยู่ หยดน้ำใสไหลลงกระทบกับตัวนาฬิกาหลังจากนั้น สายลมแวะมาทักทายวูบหนึ่ง....
เด็กสาวรู้สึกตัวเบาหวิว เหมือนล่องลอยไร้น้ำหนัก จึงตัดสินใจลืมตาขึ้น ก็พบตัวเองอยู่ในทุ่งหญ้าเขียว มีดอกไม้หลากสีสัน แข่งกันชูช่ออวดความงามแห่งตัวเองทุกดอก
"ที่นี่ที่ไหนกัน ทำไมเรามาอยู่ที่นี่"เด็กสาวกล่าวกับตัวเอง แต่บัดนี้สร้อยของเธอกลับส่งแสงสีเงินยวงออกมาสะท้อนกับประกายแดด เด็กสาวมองไปข้างหน้า เห็นประกายสีทองสะท้อนแสงแดดกลับมาอยู่ไกล ๆ เช่นกัน จึงตัดสินใจเดินตามแสงนั้นไป ใกล้เข้าไปทุกที ได้ยินเสียงน้ำจากลำธารไหลเอื่อยฟังระรื่นหูไม่น้อย ทุ่งหญ้ายังทอดตัวยาวไปไกลแสนไกลจนสุดลูกตา เด็กสาวเดินมาหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านกว้างขวาง อยู่ริมลำธาร
"เมื่อกี้แสงมาจากตรงนี้นี่นา" ผักหวานพึมพำเพราะตอนนี้แสงนั้นหายไปแล้ว แต่กลิ่นที่มาแตะจมูกกลับเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย และเป็นน้ำหอม กลิ่นที่อาบุ้งชอบใช้ประจำนั่นเอง เด็กสาวเดินตามกลิ่นนั้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะพบกับสิ่งที่ไม่เชื่อสายตา
ร่างของคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความเขียวขจีของทุ่งหญ้าสลับกับสีของดอกไม้ที่เบ่งบาน ร่างนั้นอยู่ในชุดสีขาวที่ดูเหมือนมีแสงออร่าสีขาวห่อหุ้ม ก่อนจะค่อย ๆ หันมาแล้วทำให้เด็กสาวดีใจได้ทั้งน้ำตา
"อาบุ้ง" ผักบุ้งตะโกนด้วยความดีใจ ก่อนจะโผเข้าหาอีกร่าง ที่อ้าแขนรับทันที
"เป็นไงเรา ขี้แยอีกละซะท่า"ร่างสูงกว่าที่ยังกอดเด็กสาวตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนเอ่ยขึ้น
"อาบุ้ง อาบุ้งทิ้งหวานมา กลับไปนะ " ผักบุ้งพูดเสียงอ้อนอย่างเอาแต่ใจ สิ่งที่เด็กสาวพูดขึ้นทำให้อีกฝ่ายดันร่างบางออกมาเพื่อสบตา
"อาทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะหนูหวาน มันเป็นสัจธรรม การพรากจากต้องเกิดขึ้นจะเร็วหรือช้าก็ตาม"ผักบุ้งได้แต่ฟังด้วยน้ำตาคลอหน่วยตา
"อามาตามสัญญา อาสัญญาว่าจะมาแสดงความยินดีกับหนูหวาน"มือใหญ่ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่หยดหยาดลงบนใบหน้าให้หลานสาว
"อาบุ้ง " เด็กสาวเรียกชื่อดวงตาจ้องมองร่างสูงไม่วางตา อยากจะจดจำภาพนี้อีก ไม่อยากแม้แต่จะกระพริบตา
"หนูหวาน อารู้ตอนนี้หนูหวานอยู่ด้วยความรู้สึกยังไง อย่าเศร้าอีกเลย เพราะอาอยู่ที่นี่สบายดี และอย่าคิดว่าอาจากไปไหน เพราะอาอยู่ข้าง ๆ หนูหวานตลอดเวลา เพียงแต่หนูหวานมองไม่เห็น ให้หันไปมองวันเวลาที่สวยงามของเรา มาเป็นกำลังใจนะ หนูหวานยังอยู่...อยู่เผื่อเวลาของอาที่หายไปด้วยดูแลย่าและคนอื่น ๆ ให้อาด้วย อย่าเอาความเศร้า มาขีดกั้น เรามีอย่างอื่นอีกมากมายต้องทำ " เด็กสาวพยักหน้ารับน้ำตายังเกาะพราว
"อย่าคิดว่าเราได้สูญเสียไปแล้ว อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใคร ทุกคนรักหนูหวานเหมือนที่อารักหนูหวาน"
"ได้เวลาต้องไปแล้ว สิ่งนี้คือตัวแทนอา "อาบุ้งพูดพร้อมกับจับมือที่ถือล๊อคเก็ตนั้นอยู่กระชับเบา ๆ
"แต่หวานยังอยากอยู่ที่นี่กับอาบุ้ง" เด็กสาวประท้วงอย่างเอาแต่ใจเหมือนเคยเมื่ออยู่กับอา
"อยู่ไม่ได้ มันยังไม่ถึงเวลาของหนูหวาน อืม...แล้วอาขอบใจนะสำหรับแกงเขียวหวานอร่อย ๆ เมื่อเช้านะ"เด็กสาวทำหน้างง แต่ก็คิดได้ทันที แกงเขียวหวานที่เธอทำใส่บาตรเมื่อเช้านี้
"อย่าเรียกร้องหาเวลาที่เสียไป แต่ให้ทำเวลาที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุดเข้าใจมั้ย"
"ค่ะอาบุ้ง" สองร่างกอดกันอีกครั้งต่างถ่ายทอดความรักและผูกพันให้กัน ก่อนร่างของอาจะค่อย ๆ จางหายกลายเป็นอากาศธาตุสีทองจางหายไปกับอากาศรอบตัว
เด็กสาวสะดุ้งตื่น ที่มือยังอุ่นอยู่ด้วยสัมผัสอ่อนโยน และเธอเองคิดว่าไม่ได้ฝันไปแน่ รอยยิ้มที่หายไปนานจากใบหน้าหวาน กลับมาอีกครั้ง และยิ้มได้อย่างไม่มีสิ่งค้างคาในใจ ไม่มีพันธะแห่งจากลามากรายกร้ำ
"สัญญาค่ะอา จะเข้มแข็ง จะดูแลคนอื่น ๆ ให้อา จะไม่ทวงถามเวลาที่เสียไป "
"จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด" สิ้นเสียงคำสัญญาของเด็กสาว ลมเย็นวูบหนึ่งก็มาปะทะร่างกายเหมือนกับว่าคนที่กำลังคิดถึงได้รับรู้แล้ว
..........การสูญเสียสิ่งที่รัก ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการก้าวไป แต่ตัวเราเองต่างหากที่เป็นอุปรรค...........
...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่ามัวจมอยู่กับอดีตที่หวนคืนไม่ได้ แต่ให้มันผลักดันไปสู่วันใหม่ที่ดีกว่า....
........................สัญญากันนะทุกคน บางทีกำลังใจที่มองไม่เห็นอาจส่งให้คุณอยู่ก็ได้.....................
ผลงานอื่นๆ ของ river_love ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ river_love
ความคิดเห็น